วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

องค์หญิงเหวินเฉิง สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน

           องค์หญิงเหวินเฉิง (文成公主) ทรงเป็นพระราชนัดดาในองค์พระจักรพรรดิ์ถังไท่จง พระจักรพรรดิองค์ที่สองแห่งราชวงศ์ถัง ผู้ซึ่งเสกสมรสกับกษัตริย์ทิเบตพระนาม พระเจ้าซรอนซันกัมโป ซึ่งเป็นการอภิเษกสมรสเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีระหว่างจีนกับทิเบต พระนางมีพระสมัญญานามอันเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวทิเบตว่า "กยาซา" แปลว่า "พระภรรยาชาวจีน"

กล่าวกันว่าองค์หญิงเหวินเฉิงนั้น ทรงเป็นหนึ่งในกุลสตรีซึ่งงดงามแห่งยุคผู้หนึ่ง ทรงรอบรู้ในเหล่าสรรพวิชาการต่างๆ รวมทั้งในเชิงวิชาสรรพวุธด้วย เนื่องจากในต้นราชวงศ์ ผู้หญิงก็จำเป็นต้องฝึกยุทธ เพื่อจะได้ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเป็นวิชาป้องกันตัว

ในการเริ่มต้นแผ่นดินราชวงศ์ถังนั้น พระเจ้าถังเกาจู่ (หลี่หยวน) ได้ทำการรวบรวมแผ่นดินและสถาปนาราชวงศ์ถังขึ้น แต่ผู้ที่ทำให้แผ่นดินนั้นมีความเป็นปึกแผ่น คือ พระเจ้าถังไท่จง (หลี่ซื่อหมิ่น) ผู้เป็นพระโอรส โดยในช่วงที่พระองค์ครองราชย์ พระองค์ได้ทรงทำการปราบเหล่ากบฎ ซึ่งมีอยู่มากมายหลายก๊ก และเหล่าชนเผ่าแห่งแดนเถื่อน (เหล่าผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่นอกอาณาเขตกำแพงเมืองจีน) จนได้กลายเป็นแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาล จนคนในยุคนั้นได้ถือว่า เมืองฉางอัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ถังในสมัยนั้น ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งโลกตะวันออกเลยทีเดียว

ในช่วงต้นนั้น ชนเผ่าและอาณาจักรน้อยใหญ่ ต่างก็ตั้งตัวเป็นศัตรูแห่งราชวงศ์ถัง เช่นในคาบสมุทรเกาหลี ราชสกุลโกแห่งอาณาจักรโกคูรยอ และ ราชสกุลพูยอแห่งอาณาจักรแพ็กเจ ก็มีท่าทีเป็นศัตรู แต่ยังพอมีผู้ที่มีท่าทีเป็นมิตรกับทางราชวงศ์ถังอยู่บ้าง เช่น ราชสกุลคิมแห่งอาณาจักรชิลลา รวมไปถึง พระเจ้าซรอนซันกัมโป แห่งทิเบตด้วย

          พระเจ้าซรอนซันกัมโปพระองค์นี้ เป็นกษัตริย์ทิเบตระหว่าง ค.ศ. 620 - 650 เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของทิเบตที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจน ทรงครองราชย์ในสมัยที่ทิเบตเรืองอำนาจทางทหาร ทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์แห่งจีนและเนปาล โดยอภิเษกกับเจ้าหญิงภริคุติ ราชธิดาของพระเจ้าอังศุวรมันแห่งเนปาล ทั้งยังชื่นชอบวัฒนธรรมของราชวงศ์ถังเป็นอย่างมาก และหวังจะได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์ถังที่เจริญรุ่งเรือง พระเจ้าถังไท่จึงยกองค์หญิงเหวินเฉิงให้อภิเษกด้วย โดยตามบันทึกของจีน ในปี ค.ศ. 634 ได้กล่าวถึงราชทูตของพระเจ้าซรอนซันกัมโปว่า "ทรงทูลขอพระราชทาน (ในประวัติศาสตร์ทิเบตว่า ทรงเรียกร้อง) ที่จะสมรสกับเจ้าหญิงของถัง แต่กลับถูกปฏิเสธ" ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 635-636 กองทัพของพระเจ้าซรอนซันกัมโปก็ทรงได้ไปบุกเข้าโจมตีชนเผ่าอาซา ที่ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณทะเลสาบโกโกนูร์ (ปัจจุบันคือ ทะเลสาบชิงไห่) ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญของจีนในอดีต ในปีเดียวกันนั้นได้มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น เพื่อสัมพันธภาพทางการทูต พระจักรพรรดิถังไท่จงจึงโปรดให้มีการอภิเษกสมรส ระหว่างองค์หญิงเหวินเฉิงกับกษัตริย์ทิเบตในปี ค.ศ. 640 และได้กลายเป็นสัมพันธภาพที่ดีระหว่างทิเบตกับจีนตลอดรัชสมัยของพระเจ้าซรอนซันกัมโป

           ปี ค.ศ. 641 องคค์หญิงเหวินเฉิงเดนทางไปทิเบต โดยมีข้าราชการเดินทางไปด้วย พระราชพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้การต้อนรับอย่างดีมากของชาวทิเบต ชาวบ้านต่างร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน แต่เดิมชาวทิเบตอาศัยอยู่ในเต้นท์พัก แต่ว่ากันว่า เพื่อต้อนรับองค์หญิง จึงทำการก่อสร้างพระราชวังอย่างหรูหราขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งก็คือ พระราชวังโปตาลาในปัจจุบันนั้นเอง

          ครั้นองค์หญิงผู้รักการอ่านหนังสือ และทรงพระปรีชาหลายด้าน ได้เข้ามาอาศัยยังทิเบต ก็ได้ทรงนำเอายารักษาโรค หนังสือ เมล็ดพันธ์พืช และงานหัตถกรรมของราชวงศ์ถังไปด้วย นอกจากนี้ยังมีช่างฝีมือในการเลี้ยงหม่อนไหม ช่างหมักเหล้า ช่างผลิตกระดาษ และช่างทอผ้าร่วมเดินทางไปด้วย องค์หญิงทรงนับถือศาสนาพุทธว่ากันว่าองค์หญิงเป็นผู้เลือกสถานที่สร้างวัดต้าเจา (วัดโจคัง) เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมของชนชาติฮั่นสู่ชาวตูโป ทำให้วัฒนธรรมและการผลิตของตูโปพัฒนาขึ้นมากกว่าเดิม

         องค์หญิงเหวินเฉิงมีชีวิตอยู่ในทิเบตเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี พระองค์ได้เสียสละตนเพื่อสร้างมิตรภาพที่ดีระหว่างสองชนชาติ ชาวธิเบตต่างก็ได้เคารพรักและรำลึกถึงองค์หญิงเสมอมา จนถึงปัจจุบัน วัดต้าเจาและพระราชวังโปตาลาในเมืองลาซา ก็ยังคงมีรูปปั้นขององค์หญิงเหวินเฉิงประดิษฐานไว้ นอกจากนี้ในกลุ่มชนชาติธิเบตก็ยังมีเรื่องราวตำนานเกี่ยวกับองค์หญิงเหวินเฉิงมากมาย


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก www.facebook.com/HistoryOnTimeline

ตำนานการวิ่งมาราธอน

ตำนานการวิ่งมาราธอน - ควันหลงการยุทธที่มาราธอน

         

              ในการรบที่มาราธอน มีตำนานที่โด่งดังเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรบครั้งนี้เล่าว่า หลังจากที่เอเธนส์ได้ชัยชนะเหนือเปอร์เซียแล้ว ฟิดิปปิเดซ (Pheidippides) ผู้นำสารได้รีบวิ่งกลับไปส่งข่าวยังเอเธนส์ซึ่งห่างออกไป 21 ไมล์ (34.5 กิโลเมตร) เพื่อนำข่าวชัยชนะของกองทัพ ด้วยความดีใจ เขาวิ่งออกไปทั้งๆที่ยังสวมชุดเกราะ โดยวิ่งผ่านภูเขาเมทอส เนินเขาไลคาเวทอส และอโครโพลิส มาสู่หน้าสภารวดเดียวโดยไม่หยุดพัก เมื่อมาถึงก็ชูโล่ห์ขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับร้องตะโกนว่า เราชนะ!! จากนั้นก็ล้มลงสิ้นใจ โดยการวิ่งในครั้งนี้ของเขาได้กลายเป็นตำนาน ซึ่งเป็นที่มาของการวิ่งมาราธอนในปัจจุบัน


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก www.facebook.com/HistoryOnTimeline

จักรพรรดินอร์ตันที่ 1 แห่งสหรัฐอเมริกา (Emperor Norton I)


จักรพรรดินอร์ตันที่ 1 แห่งสหรัฐอเมริกา (Emperor Norton I)



หากผมบอกว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเคยมีจักรพรรดิกับเค้าเหมือนกันด้วย หลายท่านอาจจะงงครับว่ามีด้วยหรอ จริงๆแล้วเรื่องจักรพรรดินอร์ตันนี้ เป็นแค่เรื่องโจ๊ก ซึ่งมีที่มากจากชายซึ่งคนทั่วไปมองว่าสติไม่ค่อยจะดีคนหนึ่งครับ นามว่า โจชัว อัมบราฮัม นอร์ตัน (Joshua Abraham Norton)

และถึงแม้ว่าเรื่องของนอร์ตันจะเป็นแค่เรื่องโจ๊ก แต่ก็เป็นเรื่องที่โด่งดังมากในยุคนั้นเลยทีเดียว ทีนี้เรามาทำความรู้จักกับ"จักรพรรดิ"พระองค์นี้กันดีกว่าครับ

นอร์ตันเกิดในประเทศอังกฤษ ในปี 1819 เขาเป็นลูกของพ่อค้าเชื้อสายยิวที่มีฐานะ จากนั้นครอบครัวได้อพยพไปยังอัฟริกาใต้ในปี 1820

ในปี 1849 นอร์ตันอพยพมายังสหรัฐอเมริกา หลังจากได้รับมรดกจากพ่อเป็นเงินกว่า 40,000 เหรียญ ซึ่งในสหรัฐฯ เขาได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โดยประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และมีทรัพย์สินรวมกว่า 250,000 เหรียญในช่วงราวปี 1850

ในปี 1853 เกิดภาวะแห้งแล้งในประเทศจีน จนทางการจีนห้ามการส่งออกข้าว ทำให้ราคาข้าวในซานฟรานซิสโก พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จาก 9 เซนต์ต่อกิโลกรัม กลายเป็น 70 เซนต์เลยทีเดียว นอร์ตันเห็นว่าเป็นโอกาสในการทำกำไรจากธุรกิจข้าว เขาจึงได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวจำนวน 91 ตัน จากนาย กลิด (Glyde) ซึ่งขนข้าวมาจากเปรู แต่ทว่าหลังจากลงนามในสัญญาแล้ว กลับมีเรือลำอื่นที่นำข้าวจากเปรูเข้ามาอีก ทำให้ราคาข้าวตกลงอย่างรวดเร็ว

นอร์ตัน พยายามที่จะยกเลิกสัญญา แต่ว่าคดีถูกนำขึ้นไปต่อสู้ยังชั้นศาลอย่างยาวนานจนถึงปี 1857 นอร์ตันเป็นฝ่ายแพ้คดี ถูกบังคับให้นำทรัพย์สินมาขายทอดตลาด และประกาศล้มละลายในปี 1858 และได้เดินทางออกจากซานฟรานซิสโกไป ซึ่งการสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมากนี้เองที่ทำให้เขามีอาการทางจิต

นอร์ตันเดินทางกลับมายังซานฟรานซิสโกอีกในปี 1859 และหลังจากนั้น ในวันที่ 17 กันยายน 1859 นอร์ตันได้ประกาศสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิแห่งสหรัฐอเมริกา และผู้พิทักษ์แห่งเม็กซิโก โดยที่ตัวเขาเขาได้ส่งจดหมายไปยังหนังสือพิมพ์หลายฉบับโดยประกาศตัวว่าเป็น จักรพรรดิแห่งประเทศนี้ (Emperor of these United States) ความว่า

"ด้วยปรารถนาแห่งประชาชนส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ข้า โจชัว นอร์ตันแห่งอัลกอเบย์, แหลม กู๊ดโฮป ซึ่งอยู่ในซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย มาเป็นเวลา 9 ปี กับ 10 เดือน ขอประกาศให้ทราบว่า ข้าคือจักรพรรดิแห่งสหรัฐอเมริกา และด้วยอำนาจของข้าพเจ้านี้ จึงขอสั่งการไปยังผู้แทนของแต่ละรัฐ ให้มาประชุมกันที่โรงละครของเมืองนี้ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ของปีถัดไป เพื่อร่วมกันหารือถึงกฏหมายที่มีอยู่และทางเลือกของประเทศนี้ เพื่อช่วยกันกำจัดความชั่วร้ายที่ประเทศนี้กำลังรับใช้ และเพื่อให้ประเทศคงอยู่ตลอดไป ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อความมั่นคงและความเป็นปึกแผ่น

นอร์ตัน ที่ 1, 17 กันยายน 1859"

บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งก็ไม่รู้นึกสนุกอะไรของแก อาจเป็นเพราะขณะนั้น สหรัฐอเมริกามีเรื่องคุกรุ่นภายใน ใกล้จะเกิดสงครามกลางเมือง สถานการณ์ต่างๆจึงตรึงเครียด สับสน และขัดแย้งแกคงคิดว่า หากนำประกาศที่ดูเพี้ยนๆ ฉบับนี้ลงตีพิมพ์ ก็น่าจะลดความเครียดหล่านั้นของชาวอเมริกาลงได้บ้าง โดยหันมามีอารมณ์ขัน วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง อาจทำให้ลืมเหตุการณ์ในสังคมไปชั่วขณะได้

หากแต่ว่า เมื่อตีพิมพ์ไปแล้ว กลับได้ผลตอบรับเและเป็นที่พูดถึงดีเกิดนคาด หนังสือพิมพ์อื่นๆจึงรับลูก และเอาไปลงต่อๆกันอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่ก็วิพากษ์วิจารย์กันอย่างขบขัน แล้วก็มีบางส่วนพูดทีเล่นว่า อยากจะยกตำแหน่งให้แกเป็นจักรพรรดิจริงๆ

หลังจากนั้น นอร์ตัน ก็เริ่มร่างและวางกฏหมายต่างๆ หนังสือพิมพ์และชาวบ้านก็ชักจะสนุกแล้วก็เล่นกะเค้าด้วย โดยทุกเช้า ชาวอเมริกันชนก็จะเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ดูว่าวันนี้ จักพรรดิของเขามีประกาศอะไรมาบ้าง และแจ้งให้ประชนและหน่วยงานราชการ ควรทำหรือไม่ทำอะไร ทำให้หนังสือพิมพ์ขายดิบขายดียิ่งขึ้นมากมาย

ผู้คนหลายคนแกล้งทำไปตามบทที่นอร์ตันสั่งสนุกๆแก้เซ็งในชีวิตและให้ลืมปัญหาที่รายล้อมรอบด้าน จนเรื่องโจ๊ก ก็กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ เมื่อในวันหนึ่ง มีประกาศผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ ให้ประชาชนก้มหัวคำนับ เมื่อจักรพรรดิเดินผ่าน ชาวซานฟรานซิสโกก็เต็มใจทำกันครึ่งค่อนเมือง!

จักรพรรดิจะแต่งองค์ด้วยเครื่องแบบดัดแปลงที่กองทัพสหรัฐบริจาคให้มา เป็นชุดทหารสีน้ำเงิน มีอินทรธนูและภู่สีเงินประดับบ่า หมวกหนังบีเวอร์ทีมีขนนกยูงและดอกจันตกแต่ง ทุกวันจะออกตรวจระบบสาธารณูปโภค หากเห็นข้อบกพร่องจะสั่งให้ปรับปรุงทันที

เขาเป็นที่รักของชาวเมืองซานฟรานซิสโก และมักเข้าไปรับประทานอาหารในร้านหรูๆ ซึ่งทางร้านก็มีป้ายติดไว้ด้วยว่า “ได้รับการรับรองโดยจักรพรรดินอร์ตัน แห่งสหรัฐฯ”

ครั้งหนึ่งมีการจลาจลต่อต้านชาวจีนในซานฟราซิสโก สองฝ่ายจะยกกำลังเข้าปะทะกัน จักรพรรดินอร์ตันอยู่ในชุดพระสันตปะปาและตรงเข้าไปขวาง ทั้งสองกลุ่มหยุดชะงัก ก้มคำนับให้ และร้องเพลงบทสวด แล้วสลายตัวไป

และนอกจากนั้น จักรพรรดินอร์ตันที่ 1 ยังเคยสั่งยุบสภาคองเกรส และปลดประธานาธิบดีอิบราฮัม ลินคอล์น มาแล้ว ในข้อหาที่เกิดสงครามฝ่ายเหนือฝ่ายใต้บานปลายไม่ยุติสักที แถมยังสั่ง ยุบพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ที่ขัดแย้งกันอย่างหนัก เอากับเขาสิ 55+

จักรพรรดินอร์ตันที่ 1 ยังเคยสั่งพิมพ์แบงค์ราคา 50 เซ็นต์ถึง 5 ดอลล่าร์ขึ้นมาใช้เอง ถึงจะเป็นแบ็งค์เถื่อน แต่ประชาชนและร้านค้าหลายแห่งยอมรับ ต่อมาก็อยากจะสร้างทางรถไฟที่มี รางสับเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ แต่ต้องใช้เงินจำนวนมาก จึงสั่งพิมพ์ธนบัตรใบละ 100 ดอลล่าร์ และนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารเฟิสต์เนชั่นแนล ธนาคารปฏิเสธ จักรพรรดิเสียหน้ามาก จึงออกคำสั่งปิดธนาคาร

จักรพรรดินอร์ตันที่ 1 เคยถูกตำรวจจับในข้อหาจรจัด ในขณะทำหน้าที่จักรพรรดิ แต่เขาก็ต่อสู้รอดพ้นคดี เพราะตอนถูกจับเขามีเงินติดตัวถึง 4 ดอลล่าร์ 75 เซ็นต์ ตำรวจก็คิดเอาชนะเปลี่ยนข้อหาเป็น "คนวิกลจริต" ชาวบ้านชาวเมืองจึงรุมประท้วงตำรวจ จนในที่สุดอธิบดีกรมตำรวจต้องสั่งปล่อยตัว กล่าวคำขอโทษ พร้อมทั้งออกกฏระเบียบ ให้ตำรวจทุกนายต้องทำ วันทยาหัตถ์เคารพนอร์ตัน ทุกครั้งที่เดินสวนกับเขาบนท้องถนน

8 มกราคม 1880 เรื่องของจักรพรรดินอร์ตันที่ 1 แห่งอเมริกาก็ปิดฉากลง ขณะเดินออกตรวจตราตามภารกิจประจำวัน เขาก็ล้มคว้ำลงอย่างกระทันหัน เส้นเลือดในสมองแตก เสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล ปิดฉากหน้าประวัติศาสตร์อเมริกาในเรื่องของจักรพรรดิองค์แรก และองค์สุดท้ายไปในที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก www.facebook.com/HistoryOnTimeline


วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประวัติเบส

                                      มารู้จักประวัติเบสกัน










    สำหรับ  เบส ที่เรากล่าวมานั้นรู้มัยว่า ประวัติ ของเบสน่าสนใจมากเลยครับ  บางคนอาจจะไม่คิดว่าเบสจะมีประวัติที่น่าสนใจกันมากเลยนะครับ  แล้วเบสที่คุณเพื่อน ๆ รู้จักกันนั้นนะครับ เป็น เครื่องดนตรี  ที่สำคัญมากเลยครับในหมู่นักดนตรีครับ  และ ความรู้ทั่วไป วันนี้ได้นำประวัติของเบสมาให้ความรู้ดีๆกับชาวคอนักดนตรี อยากรู้แล้วก็ตามมาเลยครับ
                  เบส เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ในทางสากลสามารถเรียกได้ทั้ง electric bass (เบสไฟฟ้า) , electric bass guitar (กีตาร์เบสไฟฟ้า) หรือเรียกสั้นๆว่า bass (เบส) ลักษณะของเบสจะมีรูปร่างใหญ่กว่ากีตาร์ มีโครงสร้างของคอที่ใหญ่และยาวกว่า มีย่านความถี่เสียงต่ำ มีหน้าที่โดยหลักๆในการให้จังหวะ คือคุมจังหวะตาม rhythm, line, pattern และ groove ของดนตรี ในขณะเดียวกันก็สามารถขยายระดับความสามารถการเล่นให้สูงขึ้นตามแนวเพลงและการประยุกต์ใช้ต่างๆ เช่น เทคนิคการ Slap หรือการตบเบส (รวมไปถึงเทคนิคอื่นที่ใช้ร่วมกันกับการ Slap) ในดนตรี Funk, Jazz และอีกหลายแนว การ Tapping การเดิน Improvising การเล่น Harmonics การเล่น Picking เป็นต้น
เบสไฟฟ้าจัดว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ถือกำเนิดหลังเครื่องดนตรีอื่นๆในประเภทวงสตริงคือสร้างขึ้นหลัง กีตาร์ กลอง คีย์บอร์ดหรือซินธิไซเซอร์ (รายละเอียดจะมีในหัวข้อประวัติของเบส) เครื่องดนตรีประเภทเบสที่ใช้กันในวงดนตรีและแนวต่างๆก็จะมี เบสไฟฟ้า เบสโปร่งไฟฟ้า fretless bass (เบสไม่มีเฟรต) และ double bass, upright bass บ้างทีก็เรียกกันว่า acoustic bass แต่ก็มีภาษาพูดเรียกกันติดปากสำหรับนักดนตรีบางคนว่า เบสใหญ่
         เบสไฟฟ้าที่ใช้โดยทั่วไปจะมี 4 สาย 5 สาย และ 6 สาย ส่วนสายที่มากไปกว่านี้ก็มีเนื่องจากนักดนตรีบางคนอาจจะออกแบบเพื่อประยุกต์ใช้ทางการเล่นเฉพาะตัว
         เบส 4 สายการตั้งสายตามมาตรฐานคือ E-A-D-G (เรียงจากต่ำ-สูง) เบส 5 สายคือ B-E-A-D-G ส่วน 6 สายคือ B-E-A-D-G-C แต่อย่างไรก็ตามเบสก็ได้ถูกขยายขอบเขตออกไปตามแนวคิดและการประยุกต์ใช้ของมือเบสต่างๆ จำนวนสายก็อาจจะมีอื่นๆอีก เช่น 3 สาย, 7 สาย, 8 สาย ,9 สาย เป็นต้น
-ประวัติกีต้าเบส
       การที่เราได้กล่าวถึงเบสนั้น  Bassline  แล้วเริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงการดนตรีมากเลยนะครับ  โดยเริ่มได้ยิน   เช่นในบทเพลงของ   J.S. Bach ระหว่างปี 1685-1750 ซึ่ง bassline   มากขึ้นด้วยนะครับ  มีความ แล้วมีความสำคัญเฉกเช่นเดียวกับในส่วนของ   soprano , alto , tenor   เลยที่เดียว   โดยใน  ดนตรีคลาสสิก  และ  ออร์เคสตรา  เสียงเบสจะถูกกำหนดขึ้นโดยเครื่องดนตรีที่มีชื่อว่า   upright bass   หรือ  bass viola  นี้ด้วยแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีตระกูลเบสรุ่นแรกในโลก
      ต่อมาเมื่อเริ่มมีดนตรีของคน  แอฟริกัน  นะค่ะคือ  Ragtime  (ดนตรีแนวเต้นรำของชาวแอฟริกัน)  และ New Orleans Jazz  ด้วยโดยมีอุปกรณ์เสียงต่ำที่เล่นจาก   brass bass   และ   tuba  เนื่องจากเป็นการเล่นโดยใช้ลมหายใจในการเป่า ที่ใช้  ทูบา  ในการเล่นเป็นจังหวะ 2 beat ใน 1 bar และนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเพลง jazz และเพลงเต้นรำด้วยนะครับ
     เมื่อเพลงแจ๊ซมีการพัฒนาและเกิดการวิวัฒนาการขึ้นเป็นจังหวะ swing ในปี 1935 การแต่งและการเรียบเรียงดนตรีจึงเกิดมีความซับซ้อนและยุ่งยากตามมา   แต่ในขณะนั้น  ได้มีในงานดนตรีที่มีชื่อเสียงในวงการเพลงแจ๊ซ   เช่น Duke Ellington , Count Basie and Benny Goodman  เป็นจังหวะแบบ  4 จังหวะ  ใน 1 ห้องเพลงด้วย แล้วถ้าเริ่มเป็นที่แพร่หลายและนำไปใช้กันมากขึ้นนั้น   ตั้งแต่ที่   brass bass  ไม่สามารถที่จะเล่นในจังหวะนี้ได้ นะค่ะAcoustic upright bass  จึงได้เป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ขึ้นมาแทนที่   brass bass   อย่างไรก็ตาม   Acoustic upright bass   ก็มีข้อจำกัดของมันเองอยู่เหมือนกันนะ  แล้วในเรื่อง  ของลำตัวที่ค่อนข้างใหญ่พกพายาก   และมีน้ำเสียงที่ไม่สามารถดังดีพอและเหมาะสมในการเล่นร่วมกับวงดนตรีประเภท   Big band  นั้นมีการทำเครื่องดนตรีหลากหลายชิ้น เช่น  brass  จำนวน 7 ตัว , เปียโน , กีต้าร์  กลอง  สิ่งนี้จึงมีการเกิดปัญหาต่อในหมู่คนเล่นเบส
    ต่อมาได้มีจึงมีจุดเริ่มต้นของการประดิษฐ์   เบสไฟฟ้าขึ้นมาตัวแรกของโลกนะครับ   เบสไฟฟ้าตัวแรกของโลก  ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดย   Clarence Leo Fender   ในปี 1951 จากบริษัท   Fender Musical Intrumental Company   (บริษัทเดียวกับที่ผลิตกีตาร์ Fender)  ร่วมกันผลิตเบสที่มีชื่อรุ่นว่า   Precision bass  โดย  Leo Fender  นะได้ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อการแก้ไขปัญหาของเบสรุ่นเก่าที่มีปัญหาในเรื่องของเสียงและขนาดที่ใหญ่ของ Acoustic upright bass   ซึ่งเขาได้ตั้งชื่อรุ่นว่า   Precision bass   เพื่อให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย   ที่แปลว่า “เบสที่มีความกระชับ ”   โดยมีการใช้เฟร็ทติดลงบน   Fingerboard  และ  แก้ไขในเรื่องของน้ำเสียงให้ดีขึ้นมากเลยทีเดียวแหละครับ
                                                 ขอบคุณข้อมูลจาก   th.wikipedia.org

                                             
                                             



                                                 ขอบคุฯวิดีโอจาก youtube.com